สายพันธุ์ปลาทอง | GoldFish Breed

ปลาทองเกล็ดแก้ว

เป็นสายพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์หนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันในปัจจุบัน มีรูปร่างลักษณะ ตัวอ้วนกลมคล้ายลูกกอล์ฟ มีลักษณะเด่นคือ มีเกล็ดที่นูนออกมา จึงได้ชื่อว่า "ปลาทองเกล็ดแก้ว"

ส่วนหัวมีขนาดเล็กมาก ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นปลาทองที่มีขนาดหัวที่เล็กที่สุด ครีบหางแผ่กางออกแลดูสวยงาม สีสันของลำตัวมีมากมายหลากหลาย ทั้ง ขาว, น้ำตาล, เหลืองและส้ม และหลากหลายสีในตัวเดียวกัน แต่ไม่พบปลาที่มีสีดำทั้งตัว และมีทั้งหัววุ้นและหัวมงกุฎ

เกล็ดแก้วเป็นปลาทองที่ชาวไทยเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ทว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้คิดค้นและทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่




ปลาทองโคเมท

เป็นปลาทองมี่มีถิ่นกำเนิดในสหรัฐฯ ลักษณะของโคเมทคือ ลำตัวผอมเพรียวยาวแลดูคล้ายปลาคาร์ป ครีบทุกครีบยาวโดยเฉพาะครีบหาง ลำตัวมักมีสีเดียวล้วน ๆ เช่น สีขาวหรือสีแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร จัดว่าเป็นปลาทองสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากสายพันธุ์หนึ่ง

Comet แปลวว่า ดาวหาง ทั้งนี้เพราะความที่มีลักษณะเพรียวยาวเหมือนดาวหางนั่นเอง โคเมทในประเทศแถบตะวันตก เช่น ที่สหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษจะเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมาก และมีราคาสูง แต่สำหรับในประเทศไทยและแถบเอเชียนั้น สายพันธุ์นี้กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าและมีราคาต่ำ ทั้งที่ปลาทองสายพันธุ์นี้จัดว่าเลี้ยงง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นมาก ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีจุดเด่นเพียงพอที่จะทำให้แลดูสวยงามเหมือนสายพันธุ์อื่น อีกทั้งยังมีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาคาร์ปอีกด้วย จึงทำให้มีความเข้าใจผิดและสับสนกันระหว่างปลาทั้งสองชนิดนี้เสมอ ๆ โดยเฉพาะในตัวที่ยังเล็กอยู่ และบางคนอาจจะเลี้ยงปนกันในบ่อเดียวกันด้วย



ปลาทองโทะซะกิน
ภาพวาดปลาโทะซะกิน
โทะซะกิน (อังกฤษ: Tosakin แปลว่า ปลาทอง ญี่ปุ่นนิยมเรียกสั้นๆ ว่า โทะซะ) เป็นสายพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์หนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาโดยมนุษย์ ได้ชื่อว่าเป็น ราชินีแห่งปลาทอง ด้วยความที่มีครีบหางพริ้วไหว และเบ่งบานกางออกเวลาว่ายน้ำ เหมือนผู้หญิงใส่กระโปรงบาน


โทะซะกินที่สวยนั้น ต้องมีลำตัวเป็นทรงหยดน้ำ โคนหางใหญ่ ครีบหางเบ่งบานและเป็นลอนสวยงาม โดยเฉพาะครีบหางที่อยู่กึ่งกลางลำตัวควรบานแผ่ออกและมีลักษณะโค้งได้รูป ส่วนครีบด้านข้างทั้งสองข้างควรกางแผ่ออกโดยทำมุมฉากกับลำตัว


ภาพวาดปลาโทะซะกิน
ในปี ค.ศ. 1845 โทะซะกินถูกพัฒนาขึ้นจากการผสมระหว่างปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์โอซาก้าและปลาทองริวกิ้น โดย "คัตซูซาบุโร ซูกะ"


ผลการผสมพบว่าได้ปลาทองที่มีลักษณะผ่าเหล่าจากปลาทองอื่น ๆ คือ ที่ส่วนหางมีลักษณะแตกต่างไปจากปลาทองทั่วๆ ไป อย่างแทบไม่น่าเชื่อ

ภาพปลาโทะซะกิน
จากลักษณะโดดเด่นที่ครีบหางของปลาทองโทะซะกิน แทนที่จะตั้งชันหรือบานเหมือนปลาพ่อแม่พันธุ์ แต่กลับมีปลายหางทั้งสองลักษณะรวมอยู่ในตัวเดียวกัน นั่นคือ ครีบหางด้านข้างทั้งสองข้างจะตั้งชันและยื่นชี้ไปทางด้านหน้าของลำตัว ส่วนครีบหางตรงกลางกลับหักมุมลงด้านล่าง ช่วยให้ครีบหางของปลาเกิดเป็นรอนคล้ายรูปคลื่น โดยเฉพาะหางของปลามีลักษณะบานออก


สำหรับในประเทศไทยเองก็ได้มีการเพาะเลี้ยงปลาทองโทะซะกินขาย แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อยเนื่องจากเลี้ยงยาก และมีวิธีการที่ยุ่งยากกว่าปลาทองสายพันธุ์อื่น ๆ ปัญหาหลัก ๆ คือ ปลาพันธุ์นี้แพ้คลอรีน















ปลาทองรันชู
ปลาทองรันชูเป็นปลาทองที่มีลักษณะคล้ายกับปลาทองสิงห์ญี่ปุ่นมาก ลำตัวอ้วนหนา บึกบึน ไม่มีครีบหลัง

ลักษณะของปลาทองรันชูที่สวย คือ ต้องมีช่วงหลังโค้งลาดลงได้สัดส่วน ไม่นูนไปข้างหน้าหรือข้างหลังจนเกินไป ความโค้งของหลังไม่ตื้นหรือลึกเกินไป ไม่จำเป็นต้องมีหลังที่โค้งเรียบ ส่วนท้องด้านข้างควรโป่งพอง แนวลำตัวเริ่มจากจะงอยปากจนถึงปลายหางต้องอยู่ในแนวเส้นตรงไม่บิดเบี้ยวหรือโค้งงอ เกล็ดควรมีความสม่ำเสมอเรียงตัวกันเป็นระเบียบจากต้นคอจนถึงโคนหาง และเป็นเงางามแลดูสดใสแวววาว โคนหางใหญ่ บึกบึน แลดูมีพละกำลัง ส่วนหลังดูเมื่อมองจากด้านบนจะแลดูคล้ายเหรียญโคบัน (小判)

ครีบหางต้องแผ่กว้าง สมดุลกันทั้งด้านซ้ายและขวา ไม่บิดโค้งงอ มีขนาดที่เหมาะสมกับลำตัว ลักษณะของครีบหางมีสองแบบ คือ หางสามแฉก และสี่แฉก มุมยกของหางควรทำมุมไม่เกิน 45 องศา กับแผ่นหลัง ไหล่หางงุ้มมาข้างหน้าเล็กน้อย ส่วนปลายของหางไม่ควรยกสูงกว่าแนวของสันหลัง

สีของปลาทองรันชู มีสีขาว, แสด, แดง หรือแม้กระทั่งดำ เป็นสีเดียวตลอดทั้งตัว หรือจะเป็นหลายสีผสมกันก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสีในโทนเข้มหรืออ่อน ควรมีความเงางามของเกล็ดและเรียงเป็นระเบียบสวยงาม

มีรูปทรงลำตัวที่ดี ขณะว่ายน้ำไม่เชิดหัวขึ้นหรือก้มหัวจนต่ำเกินไป มีพละกำลังในการว่ายน้ำ พริ้วสวยไม่อืดอาด มีการสะบัดสะโพกที่สวยงาม ครีบทวารหรือครีบก้น ต้องมี จะมีเดี่ยวหรือมีคู่ก็ได้ หากมีควรมีคู่กัน ส่วนครีบอื่น ๆ ไม่มีครีบหลัง มีครีบอก และครีบท้องอย่างละหนึ่งคู่ มีขนาดเท่ากัน ส่วนหัว มีช่องของดวงตาห่างและมีระยะห่างช่วงริมฝีปากจนถึงนัยน์ตาควรจะยาว กลุ้มวุ้นบนหัวทั้งสามส่วนไม่กำหนดลักษณะที่แน่นอน เพียงแต่ให้แลดูแล้วสมดุลกลมกลืนเหมาะสมกับช่วงลำตัว ส่วนของหัววุ้นบนหัว ต้องปิดทั้งแผ่นปิดเหงือก, ข้างแก้มไปจนถึงริมฝีปาก และบนส่วนหัว แต่ต้องไม่มีขนาดเหมือน ชิชิ คาชิระ



ปลาทองลักเล่ห์

ลักษณะเด่นของลักเล่ห์ คือ ดวงตาที่โปนยื่นออกมาจนดูคล้ายกับกล้องส่องทางไกล หรือกล้องดูดาว สอดคล้องกับชื่อในภาษาอังกฤษ มีต้นกำเนิดที่ประเทศจีนราวศตวรรษที่ 15-16 แต่มีการพัฒนาสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักในปัจจุบันที่ประเทศญี่ปุ่น

เดิมทีนั้นคำว่าลักเล่ห์ จะใช้เรียกเฉพาะปลาที่มีสีดำสนิทเท่านั้น ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า "Black moor" ส่วนปลาที่มีสีอื่น ๆ จะเรียกว่า "ตาโปนญี่ปุ่น" จะไม่ใช้คำว่าลักเล่ห์ แม้จะมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่างก็ตาม แต่ต่างกันเพียงสีก็ตาม

นอกจากนี้แล้วยังมียังมีปลาตาโปนที่มีสีส้ม, ส้ม-ขาว, ขาวแดง และยังมีตาโปนสามสี ที่มีสีส้ม, ดำ, ฟ้า หรือเท่ารวมกันอยู่บนตัว ต่อมาก็ถูกพัฒนาให้มีครบ 5 สี เรียกว่า "ตาโปนห้าสี" นอกจากนี้ยังมีลักเล่ห์ทับทิมที่มีลำตัวสีเหลืองนวล, ลักเล่ห์แพนด้าที่มีสีสลับดำ-ขาว ดูคล้ายกับหมีแพนด้า, ลักเล่ห์สีนากที่มีลำตัวสีน้ำตาลแกมเขียวหรือชื่อหนึ่ง ก็คือ ลักเล่ห์สีช็อกโกแล็ต หรือ ลักเล่ห์บัตเตอร์ฟลาย ที่มองจากด้านบนแล้วจะเห็นครีบหางที่กางแผ่ออกเหมือนปีกผีเสื้อ

ลักษณะที่ดีของปลาทองลักเล่ห์ คือ ดวงตาทั้งสองข้างต้องโตเท่ากัน แก้วตากลมไม่แบน และอวัยวะส่วนอื่น ๆ อยู่ในสภาพปกติ ครีบต่าง ๆ ต้องไม่พับ หัก หรือโค้งงอ ลักเล่ห์เมื่อยังอายุน้อยอยู่ลูกตาจะไม่โปนออกมา โดยทั่วไปจะให้ปลามีอายุได้สัก 3-6 เดือน ลูกตาจึงค่อย ๆ ยื่นออกมาให้เห็น ลักเล่ห์เป็นปลาทองที่มีครีบหรือกระโดงหลัง แต่โดยรวมเป็นปลาทองที่มีขนาดไม่ใหญ่นนัก โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ราว 3-4 นิ้ว การเลี้ยงที่ดีควรเลี้ยงในน้ำที่มีความลึกประมาณ 40 เซนติเมตร สามารถเลี้ยงในตู้ได้ แต่มุมมองที่สวยที่สุด คือ การมองจากด้านบน หรือท็อปวิว คือการเลี้ยงในอ่างเช่นเดียวกับรันชูหรือสิงห์ญี่ปุ่น













ปลาทองตาลูกโป่ง
 ลูกโป่ง เป็นสายพันธุ์ของปลาทองชนิดหนึ่ง ที่พบเห็นได้ตามร้านจำหน่ายปลาทั่วไป เป็นปลาที่มีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนคือ มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ที่มีเส้นเลือดอยู่ภายใน ปูดยื่นออกมาทั้งสองข้างแลดูคล้ายลูกโป่ง จึงเป็นที่มาของชื่อ มีลักษณะลำตัวเรียวยาว ครีบทุกครีบสั้น ไม่มีครีบหลังซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้คล้ายกับปลาทองอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ สิงห์จีน, สิงห์ญี่ปุ่น และ รันชู


ลูกโป่ง เป็นปลาทองที่มีสายพันธุ์กำเนิดมาจากประเทศจีน นับว่าเป็นปลาทองอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความเปราะบาง เลี้ยงยาก ทั้งนี้เพราะผู้เลี้ยงต้องคอยระวังมิให้ถุงใต้ตานั้นแตก ซึ่งอาจจะทำให้ปลาพิการหรือตายได้เลย เพราะปลาจะเสียการทรงตัวและติดเชื้อโรค ลูกโป่งนับว่าเป็นปลาทองที่มีสีสันหลากหลายมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง เพราะมีทั้ง เหลือง, แดง, ขาว, เหลือง, ส้ม หรือหลากหลายสีสันในตัวเดียวหรือแม้กระทั่งน้ำตาลดำทั้งตัว

เมื่อยังเล็ก ถุงใต้ตาจะยังเล็กอยู่และจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุขัยปลา จนกระทั่งเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุได้ 2 ขวบปี ลูกโป่งมีอายุขัยเต็มที่ราว 5 ปี


ปลาทองสิงห์จีน
ปลาทองสิงห์จีนได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามจำนวนมาก

ปลาทองสิงห์จีนถูกพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นในประเทศจีน ในราวศตวรรษที่ 17 หรือ 18 โดยใช้ชื่อเดียวกันกับสิงโตหินรูปปั้นที่ทำหน้าที่ทวารบาลเฝ้าประตูต่าง ๆ ตามสถาปัตยกรรมแบบจีน

ปลาทองสิงห์จีน เป็นปลาทองอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีลำตัวป้อม สั้น แลดูหนาบึกบึน ไม่มีครีบหลัง มีส่วนของวุ้นที่หัวมากกว่ารันชูหรือสิงห์ญี่ปุ่น ในบางตัวอาจมีวุ้นปกคลุมมิดทั้งดวงตาเลยก็ได้ มีส่วนคอที่สั้น ลักษณะของปลาทองสิงห์จีนที่ได้มาตรฐานว่า สวย คือ ส่วนหลังโค้ง หางบานออกพอประมาณต้องได้ฉาก ลำตัวไม่ว่าจะสั้นหรือยาวต้องได้สัดส่วน ถ้าเป็นปลาลำตัวยาวปลานั้นต้องอ้วนใหญ่ แกนสันหลัง หาง ครีบทวาร ครีบหน้า และบริเวณหัวต้องใหญ่ ได้สัดส่วนด้วย หากเป็นปลาลำตัวสั้นส่วนต่าง ๆไม่ว่าบริเวณสันหลัง ครีบต่าง ๆ และลำตัวต้องสั้นได้สัดส่วน


ปลาทองสิงห์ญี่ปุ่น
สิงห์ญี่ปุ่น (อังกฤษ: Ranchu) เป็นปลาทองสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม

เป็นปลาที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาภายในประเทศไทย มีลำตัวที่อ้วนหนา ดูบึกบึน แข็งแรง ไม่มีครีบหลัง ดูแลคล้ายกับรันชูหรือสิงห์จีนมาก แต่ทว่าสิงห์ญี่ปุ่นจะมีส่วนหัวที่เล็กกว่า ไม่มีวุ้นบนหัวหรือมีแต่ก็น้อยกว่า ลำตัวสั้น หลังโค้งมน หางสั้นและเชิดขึ้น แลดูสง่า ปลาทองสิงห์ญี่ปุ่นที่สวยงามนั้น ต้องมีส่วนหลังที่โค้งมนเป็นรูปครึ่งวงกลม เหมือนไข่ผ่าซีก ดูจากด้านข้างแล้วลำตัวปลาะต้องกว้าง หัวไม่ทิ่มหรือต่ำลงไป การว่ายน้ำต้องทำได้อย่างสมดุล มีสง่างาม

ปลาทองสิงห์ญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างจากรันชู ตรงที่สิงห์ญี่ปุ่นนั้นมีลำตัวที่สมส่วน ดูกลมกลึงกว่า อีกทั้งมีข้อหางที่เล็กและลึกกว่า ดังนั้นจึงเหมาะแก่การเลี้ยงในตู้กระจก หรือ ไซด์วิว (Side View) ขณะที่รันชูนั้นจะสวยงามกว่าเมื่อได้มองจากด้านบน จึงเหมาะแก่การเลี้ยงในบ่อหรืออ่างมากกว่า จึงเรียกว่า ทอปวิว (Top View)


ปลาทองสิงห์ดำตามิด
สิงห์ดำตามิด หรือ สิงห์สยาม (อังกฤษ: Black pearl, Black siam) เป็นปลาทองสายพันธุ์หนึ่ง ที่ได้รับความนิยมเลี้ยงในปัจจุบัน มีลักษณะเด่นคือ ลำตัวสีดำสนิททั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งส่วนท้อง ส่วนหัวมีก้อนเนื้อที่เรียกว่า วุ้น ขนาดใหญ่และปิดจนมิดมองไม่เห็นลูกตา ลักษณะส่วนอื่นทั่วไปก็คล้ายกับสายพันธุ์หัวสิงห์ คือ ครีบทุกครีบสั้น ไม่มีครีบหลัง โคนหางใหญ่ แข็งแรง

สิงห์ดำตามิดหรือสิงห์สยามนั้น เป็นปลาทองอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ชาวไทยเป็นผู้คิดค้นสายพันธุ์ขึ้นมา โดยเริ่มขึ้นที่สหกรณ์ปลาสวยงาม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาจากสายพันธุ์หัวสิงห์ จนได้เป็นสายพันธุ์แท้ที่มีความนิ่งในพันธุกรรมและมีเอกลักษณ์เฉพาะสายพันธุ์

ปัจจุบัน สิงห์ดำตามิด เป็นปลาทองอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมาก โดยในตลาดปลาสวยงาม มักพบปลาทองสายพันธุ์นี้ขายอยู่เสมอ ๆ 


ปลาทองสิงห์ลูกผสม
สิงห์ลูกผสม (อังกฤษ: Lionchu หรือ lionhead-ranchu) เป็นปลาทองสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม

เป็นปลาทองที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาภายในประเทศไทย โดยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างปลาทองสิงห์ญี่ปุ่นและปลาทองสิงห์จีน ทำให้ได้ชื่อว่าสิงห์ลูกผสม มีลักษณะก่ำกึ่งระหว่างสิงห์ญี่ปุ่นและสิงห์จีน ในปัจจุบันเป็นสายพันธุ์ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย ซึ่งในแต่ละปี มีการประกวดสายพันธุ์นี้ในงานประมงน้อมเกล้าฯ และงานอื่นๆ


ปลาทองออรันดา
ปลาทองออรันดาเกิดจากสายพันธุ์ริวกิ้น ผสมกับสายพันธุ์หัวสิงห์ สายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 และแพร่หลายในต้นศตวรรษที่ 19 สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์อย่างจริงจังในช่วง พ.ศ. 2500 นี้เอง

สายพันธุ์ปลาทองออรันดาแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ ๆ คือ

ออรันดาปักกิ่ง มีลำตัวเล็กที่สุด ขนาดลำตัวเมื่อโตเต็มที่ 8.5-10 เซนติเมตร เป็นสายพันธุ์ที่มีวุ้นขึ้นเร็วและฟูที่สุด เหมาะแก่การเลี้ยงในตู้ปลาขนาดไม่ใหญ่เกินไปนัก เช่น 60-75 เซนติเมตร

ออรันดากลาง เกิดจากการผสมกันระหว่างออรันดาปักกิ่งและออรันดายักษ์ ทำให้ได้ปลาที่มีขนาดพอเหมาะลำตัวโตเต็มที่ประมาณ 12.5-15 เซนติเมตร 5วุ้นจะขึ้นเร็วกว่าออรันดายักษ์ แต่ช้ากว่าออรันดาปักกิ่ง

ออรันดายักษ์ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นปลาทองที่โตช้า วุ้นขึ้นช้า ซึ่งจะพัฒนาตามขนาดลำตัวและวัยของปลา เป็นปลาที่กินเก่ง ต้องการพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต มักเลี้ยงไว้ในตู้ปลาขนาดใหญ่ หรือในบ่อ


บรรณานุกรม
1. Wikipedia. (2557). Flemish Giant rabbit. ค้นข้อมูล วันที่ 19 ธันวาคม 2557. จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Flemish_Giant_rabbit

ปลาทอง ออรันดา | Oranda GoldFish

ปลาทองออรันดาเกิดจากสายพันธุ์ริวกิ้น ผสมกับสายพันธุ์หัวสิงห์ สายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 และแพร่หลายในต้นศตวรรษที่ 19 สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์อย่างจริงจังในช่วง พ.ศ. 2500 นี้เอง

สายพันธุ์ปลาทองออรันดาแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ ๆ คือ

ออรันดาปักกิ่ง มีลำตัวเล็กที่สุด ขนาดลำตัวเมื่อโตเต็มที่ 8.5-10 เซนติเมตร เป็นสายพันธุ์ที่มีวุ้นขึ้นเร็วและฟูที่สุด เหมาะแก่การเลี้ยงในตู้ปลาขนาดไม่ใหญ่เกินไปนัก เช่น 60-75 เซนติเมตร

ออรันดากลาง เกิดจากการผสมกันระหว่างออรันดาปักกิ่งและออรันดายักษ์ ทำให้ได้ปลาที่มีขนาดพอเหมาะลำตัวโตเต็มที่ประมาณ 12.5-15 เซนติเมตร 5วุ้นจะขึ้นเร็วกว่าออรันดายักษ์ แต่ช้ากว่าออรันดาปักกิ่ง

ออรันดายักษ์ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นปลาทองที่โตช้า วุ้นขึ้นช้า ซึ่งจะพัฒนาตามขนาดลำตัวและวัยของปลา เป็นปลาที่กินเก่ง ต้องการพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต มักเลี้ยงไว้ในตู้ปลาขนาดใหญ่ หรือในบ่อ


และยังอาจแบ่งออรันดาออกเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีกตามลักษณะของหัวและสี เช่น ออรันดาปักกิ่ง, ออรันดาเรดแคป (ตันโจ), ออรันโดอาร์ปาเช, ออรันดาดำ, ออรันดาห้าสี และออรันดาเกล็ดข้าวโพด ที่เกล็ดทั้งลำตัวจะเป็นสีส้มและมีขอบเกล็ดเป็นสีขาว นับเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เพาะขึ้นมาได้ เป็นต้น


นอกจากนี้แล้ว ปัจจุบันยังมีออรันดาสายพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ออรันดาสั้น ที่มีลำตัวป้อมสั้นเหมือนปลาทองริวกิ้น แต่ทว่ามีครีบและหางเบ่งบาน โดยเกิดจากการพัฒนาปลาโดยคัดเก็บปลาทองออรันดาที่หลุดเป็นทรงป้อมสั้นกว่าตัวอื่นในครอกมาไขว้พัฒนา จนกลายเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง


บรรณานุกรม
1. Wikipedia. (2557). ออรันดา. ค้นข้อมูล วันที่ 19 ธันวาคม 2557. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ออรันดา

ปลาทอง ปลาสวยงาม | GoldFish (Carassius auratus auratus)

ปลาทองในสมัยโบราณ
       ปลาทองเป็นสมาชิกตัวเล็กของครอบครัวปลาคาร์พ (ซึ่งรวมถึงปลาคาร์พแฟนซีและปลาคาร์พเงิน) ปลาทองเป็นปลาที่โดดเด่นของปลาคาร์พน้อยที่มีสีสัน (Carassius auratus) เป็นปลาพื้นเมืองของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

       ปลาทองถูกนำมาเลี้ยงเป็นครั้งแรกในประเทศจีนกว่า 1,000 ปีที่ผ่านมา และสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป ปลาทองได้รับการพัฒนามาตั้งแต่อดีต มาจนกระทั้งปัจจุบันก็ได้มีสายพันธุ์ปลาทองแตกต่างกันมากมาย มีขนาด รูปร่างและครีบสีต่างกัน (สีขาว, สีเหลือง, สีส้ม, สีแดง, สีน้ำตาลและสีดำเป็นที่นิยม)

ขนาดของปลาทอง 

       ในเดือนเมษายน 2008, ปลาทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกวัดโดยบีบีซี วัดได้ 48 ซม. เป็นปลาทองที่อาศัยอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ส่วนปลาทองที่มีขนาดใหญ่รองลงมามีชื่อว่า "โกลดี้" เป็นปลาทองที่เลี้ยงไว้ในประเทศอังกฤษ วัดขนาดได้ 38 ซม และหนักถึง 0.91 กิโลกรัม ในเดือนกรกฎาคม 2010, ปลาทองขนาด 41 ซม.หนัก 2.3 กิโลกรัม ถูกจับได้ในบ่อที่ประเทศอังกฤษ


ปลาคาร์พ Prussian carp
ญาติปลาทอง 

       ปลาทองได้รับสายพันธุ์มาจากปลาคาร์พปรัสเซีย (Carassius auratus gibelio) ในประเทศจีน และปลาทองยังมีสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกับป่าในบริเวณนั้น  ก่อนหน้านี้บางแหล่งข่าวอ้างว่าปลาคาร์พ Crucian (Carassius Carassius) เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับปลาทอง แต่พวกมันมีความแตกต่างหลายลักษณะ
C. auratus มีจมูกแหลมกว่า ในขณะที่จมูกของ Carassius C. มีลักษณะกลม C. gibelio มักจะมีสีเทาหรือสีเขียว ในขณะที่ ปลาคาร์พ crucian มักมีสีบรอนซ์ทอง

ลักษณะของปลาทอง 

ปลาทองในท้องตลาด จะมีลักษณะอยู่ 2 แบบ คือ

       1.ปลาทองที่มีลำตัวแบนยาว มีลำตัวแบนข้าง และมีครีบหางเดี่ยว ยกเว้นวากิ้นซึ่งมีครีบหางคู่ ปลาในกลุ่มนี้มักจะว่ายน้ำได้รวดเร็ว ปราดเปรียว ทนทานต่อโรคต่าง ๆ และเจริญเติบโตได้เร็วกว่า ปลาทองที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่
  • โคเมท
  • ชูบุงกิ้น
  • วากิ้น
       2.กลุ่มที่มีลำตัวกลมหรือรูปไข่ ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนสายพันธุ์หลากหลายมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ว่ายน้ำได้ไม่ดี อาจจะว่ายหัวตก มีลักษณะสำคัญที่ครีบ หัวและนัยน์ตาที่แตกต่างหลากหลายกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่มีครีบหลัง ได้แก่
  • ออรันดา
  • เกล็ดแก้ว
  • ลักเล่ห์
  • แพนด้า
  • โทะซะกิน

กลุ่มที่ไม่มีครีบหลัง ได้แก่
  • สิงห์จีน
  • สิงห์ญี่ปุ่น
  • สิงห์ดำตามิด
  • รันชู
  • ลูกโป่ง
  • ตากลับ

การเลี้ยงปลาสวยงาม

       การเลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรก ที่นิยมเลี้ยงในตู้ปลาหรือบ่อน้ำในสวน นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาที่เป็นสาขาของการเกษตรอีกด้วย

ประเภทของการเลี้ยงปลา
       การเลี้ยงปลาสวยงาม จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็ม และปลาน้ำกร่อย


ตู้ปลาสวยงาม น้ำจืด
ปลาน้ำจืด
       จัดเป็นประเภทที่มีคนนิยมเลี้ยงเป็นงานอดิเรกมากที่สุด ร้านจำหน่ายพันธุ์ปลา ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ปลาพันธุ์น้ำจืด เช่น ปลาทอง ปลาหางนกยุงและสินสมุทร เป็นต้น การตู้ปลาขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เลี้ยง ในตู้ปลาหนึ่งอาจเลี้ยงปลาหลากหลายสายพันธุ์ หรืออาจจะเลี้ยงเพียงสายพันธุ์เดียว อาจเลี้ยงตัวเดียว หรือเลี้ยงหลายตัว ขึ้นอยู่กับชนิดของปลานั้นๆ
       ผู้เลี้ยงบางท่านก็ให้ความสำคัญกับพืชที่นำมาเลี้ยงในตู้ปลา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ชำนาญการเลี้ยงปลาอยู่แล้ว




ตู้เลี้ยงปลาสวยงาม ปลาน้ำเค็ม


ปลาน้ำเค็ม
       โดยทั่วไปการเลี้ยงปลาน้ำเค็มจะยุ่งยากกว่าและมีราคาแพงกว่า ผู้ที่เลี้ยงปลาน้ำเค็มมักจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาก ตู้ปลาทะเลจะมีความสวยงามอย่างยิ่ง เนื่องจากสีและรูปร่างที่สวยงามของปะการัง หรือแนวปะการัง ที่ซึ่งเป็นเหมือนบ้านของปลา ตู้ปลาทะเลไม่นิยมนำมาเลี้ยงในบ้าน เนื่องจากปลาทะเลส่วนใหญ่จะเติบโตไม่ดีที่อุณหภูมินี้ ดังนั้นผู้ที่เลี้ยงปลาทะเลนี้จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องทำความเย็น (Chiller) ไว้ด้วย




ปลาบู่ ปลาน้ำกร่อย

ปลาน้ำกร่อย
       น้ำกร่อยเป็นน้ำที่ผสมกันระหว่างน้ำจืดและน้ำทะเล ปลาน้ำกร่อยมาจากแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีความเค็มแตกต่างกันไป เช่น ป่าโกงกาง หรือบริเวณปากแม่น้ำ ปลาที่อาศัยในน้ำกร่อย เช่น ปลาปักเป้าบางชนิด ปลาบู่บางชนิด





การเลี้ยงปลาสวยงาม โดยเลียนแบบธรรมชาติ
การเลี้ยงปลาสวยงามแบบธรรมชาติ
       ปลาได้รับการยกย่องให้เป็น"อาหารที่อยู่ในบ่อ" ซื่งเป็นอาหารที่สดใหม่ การเลี้ยงปลาในบ่อมีมานับพัน ๆ ปี แต่ปลาบางชนิด มีค่ามากกว่าอาหาร มีหลากหลายวัฒนธรรมที่เลี้ยงปลาไว้เพื่อเสริมบารมี หรือเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
       ในสมัยโบราณ ชาวซูเมอร์ได้ขังปลาไว้ในบ่อก่อนที่จะนำมาเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังพบงานศิลปะอียิปต์โบราณที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยก่อนได้มีการเลี้ยงปลาไว้ในสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในวัด
       ในทำนองเดียวกัน ในภูมิภาคเอเชียมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเลี้ยงปลาพร้อมกับการทำนาข้าว นิยมเลี้ยงปลาดุกและปลาตะเพียร


ปลอทางสายพันธุ์ดั่งเดิม

       ในปัจจุบัน การคัดเลือกพันธุ์ของปลาคาร์พรับความนิยมและมีโดดเด่นอย่างสมบูรณ์ ปลาคราฟและปลาทองเริ่มนำมาเลี้ยงเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้วในประเทศญี่ปุ่นและจีนตามลำดับ จีนนำปลาทอง(สำหรับเลี้ยงในบ้าน) เข้ามาในช่วงราชวงศ์ซ่ง โดยการเลี้ยงใส่บ่อดินเผาขนาดใหญ่ รูปด้านขวามือ เป็นรูปปลาทองสายพันธุ์ดั่งเดิม จะมีลำตัวที่เรียวกว่าปลาทองในปัจจุบัน



       ในยุโรปสมัยกลาง ปลาคาร์พเป็นปลาที่พระราชวงศ์ยอมให้นำมาบริโภคได้ หากวันนั้นเป็นวันที่ไม่สามารถกินเนื้ออื่นๆได้ โดยเหตุผลทางศาสนา

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่

การบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ/หรือตู้เลี้ยงปลา
       พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแบบระบบปิดนี้ ได้มีการทำระบบนิเวศให้สมดุลเหมือนในธรรมชาติ

       ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของนักล่าเหยื่อกับผู้ที่ถูกล่า สมดุลนี้เป็นไปไม่ได้แม้แต่ในตู้ปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่โดยปกติพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจะพยายามรักษาความสมดุลในระบบนิเวศให้ได้มากที่สุด

       ความหลากหลายของวัฏจักรสารอาหารมีความสำคัญในตู้ปลาเป็นอย่างมาก ออกซิเจนจะซึมเข้าสู่ผิวน้ำทางอากาศหรือผ่านการปั๊มลม คาร์บอนไดออกไซด์จะซึมออกจากน้ำไปในอากาศ วงจรฟอสเฟตเป็นสำคัญ แต่เรามักจะมองข้าม กำมะถันเหล็กและแร่ธาตุสู่ระบบนิเวศทางอาหารและกลายเป็นของเสีย การจัดการที่เหมาะสมของวงจรไนโตรเจนพร้อมกับการให้อาหารที่สมดุล สิ่งเหล่านี้มักจะเพียงพอที่จะทำให้วัฏจักรสารอาหารเหล่านี้อยู่ในภาวะสมดุลได้ดี